fmovies หนังออนไลน์ หนังฝรั่งเต็มเรื่อง

fmovies

fmovies หนังฝรั่งรัก โรแมนติก หนังซับไทย

fmovies ท่ามกลางความดาร์คก็ได้ก่อให้เกิด Hero Blockbusters อย่าง Batman คริสต์ศักราช 1989 (พุทธศักราช 2532) ของ Tim Burton ที่นำแสดงโดย Michael Keaton พวกเราจะมองเห็นได้ว่ามันมีความเป็นหนังวีรบุรุษสมัยแรก แม้กระนั้นมันก็มีการเปลี่ยนแปลงโทนของหนังให้ดาร์คขึ้น บางทีก็อาจจะด้วยเหตุว่าเป็นสไตล์ของเพศผู้ควบคุมด้วย การออกแบบต่างๆมันไม่ใชหนังวีรบุรุษเสมือนที่พวกเรารู้จักกันในสมัยแรก

มันเป็นก้าวใหม่อย่างแจ่มแจ้ง มีความเป็นหนัง Neo-Noir ที่สำคัญตัวหนังถูกจัดอยู่ในเรท PG-13 ทั้งที่ส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาสูงสุดก็แค่ PG เพียงแค่นั้น‘Slumberland’ เกี่ยวกับเรื่องราวของ เด็กหญิงนีโม (Marlow Barkley) บุตรสาวของ ปีเตอร์ (Kyle Chandler) นักดูแลเรือนตะเกียงหาดทรายผู้รักการเสี่ยงอันตราย วันหนึ่ง บิดาของคุณหายสูญข้างหลังล่องเรือตอนดึกทันทีทันใด คุณก็เลยจำเป็นต้องถูกย้ายไปดำเนินชีวิตในเมืองแบบจำใจร่วมกับฟิลิป (Chris O’Dowd)

ถ้าคนไหนกันแน่ได้มองกระทั่งจบ ไม่ว่าจะถูกใจหรือชิงชังหนังแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่บางทีอาจไม่ยอมรับได้เลยซึ่งมันสมองและก็ความสามารถลายมือของ แซค เคเกลื่อนกลาดเกอร์ (Zach Cregger) ที่เหมาเขียนบทและก็ดูแลนั้นไม่ธรรมดาเลย mooviehd นอกเหนือจากการสร้างบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจให้อยู่เหนือลูกเล่นจัมป์สเอ็งร์ดาดๆแล้ว ที่ย่อยง่าย รวมทั้งรูปลักษณ์สุดโก้เก๋ ที่พร้อมจะร้องงอแงให้บิดามารดาจับจ่ายซื้อของเล่นตัวพวกนั้นให้ด้วย

อีกจุดที่นับว่าสร้างความแปลกใหม่อย่างยิ่งเป็นการโกหกทางให้ผู้ชมทายใจ ‘แนวหนัง’ ในร่มของหนังสยองขวัญอย่างสนุกสนานมือ เริ่มจากพล็อตแนวๆบ้านแปลกๆไม่น่าไว้วางใจ คนที่ไม่รู้จักสุดอันตราย ไล่ไปจนกระทั่งการไล่ปัจจุบันระทึกที่จะต้องกล่าวว่าเคเกลื่อนกลาดเกอร์เล่นกับความอยากรู้รวมทั้งความหวังของผู้ชมได้อย่างขาญเฉลี่ยวฉลาดอย่างยิ่งจริงๆถูกคอคนที่ชอบใจการเรียนรู้วิถีชีวิตคนสมัยเก่า

หนังวีรบุรุษก็ได้เปลี่ยนไป มิได้แจ่มใส สว่างสไว มันเริ่มสมจริงสมจังขึ้น มีพื้นฐานบนโลกมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ มองสัมผัสได้ และก็ที่สำคัญรูปลักษณ์เริ่มแปรไป มันเริ่มมีวีรบุรุษที่มิได้สวมชุดรัดรูป มิได้ใส่ผ้าที่มีไว้สำหรับคลุม ที่มาพร้อมกับรายละเอียดที่ร้ายแรงขึ้น มาให้พวกเราได้ดูกัน ในสมัยนั้นมีดาราดังอย่าง Arnold Schwarzenegger แล้วก็ Bruce Willis ที่เป็นผู้แสดงนำชายจ้ะ ร่างกายใหญ่โต อย่างกับออกมาจากหนังสือการ์ตูน แล้วคนไหนล่ะจำเป็นต้องการวีรบุรุษในชุดรัดรูปอีก

ซึ่งเรื่องราวการเสี่ยงภัยของเด็กผู้ชายนีโม ที่เข้าไปเผชิญภัยในโลกที่ความฝันสุดพิศดารนี้ ส่วนมากจะถูกเอาไปทำในต้นแบบแอนิเมชันซะเป็นส่วนมากนะครับ ถ้าหากเวอร์ชันแรกสุดเลยก็คือ ‘Little Nemo’ (1911) แอนิเมชันขนาดสั้นแท้จริงๆแล้วคงจะเรียกว่าเป็นงานทดสอบที่เอาติดอยู่แรกเตอร์มาทำเป็นภาพเคลื่อนไหวเฉยๆมากยิ่งกว่า แต่ว่าที่คงจะชินตา ก็น่าจะเป็นหนังแอนิเมชัน ‘Little Nemo: Adventures in Slumberland’ ที่ออกฉายในปี 1989

ภายหลังมองจบนั้น จะต้องขอดู “Zak Hilditch” ผู้กำกับคนใหม่แม้กระนั้นความสามารถจริงๆ สามารถเก็บเนื้อหาต่างๆได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งต่างๆนิดๆหน่อยๆที่เป็น “เทรนด์” หรือ “ค่าความนิยม” ของสมัยนั้น เอามาใส่ไว้ในตัวหนังประเภทแนบเนียน ทำให้ผู้ชมในปัจจุบัน รู้เรื่องความเกี่ยวข้องของผู้แสดง รวมทั้งสัมผัสความจำเป็นอันเป็นสาเหตุของความอยากได้จาก Wilfred James ได้ ตัวอย่างเช่น แฟชั่น, บุคลิกลักษณะ, สำนวนการพูด ฯลฯ

เพราะว่าพูดได้ว่าเฉพาะโปรดักชันแล้วก็งาน CGI ก็จะต้องกล่าวได้ว่าทุ่มทุนรวมทั้งทำออกมาได้ตื่นตาตื่นใจใกล้เคียงหนังบ็อกซ์สำนักงานเลยล่ะ ซึ่งวิชวลก็มีการอ้างอิงมาจากคอมิกต้นฉบับหลายส่วน รวมทั้งแอบมีกลิ่นความ Weird แบบในหนังของ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) ผสมความ Realistic เข้าไป แล้วก็ยังแอบมี CGI ที่แอบงานหยาบคายนิดนึง แม้กระนั้นโดยรวมก็จัดว่าวางแบบวิชวลได้งามตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย

ส่วนในทางของบทก็น่าดึงดูด แม้วิชวลของตัวหนังเองจะเชื้อเชิญให้รำลึกถึงการเกิดฝันซ้อนฝันแบบในหนัง ‘Inception’ (2010) ตะหงิดๆแต่ว่าตัวหนังเองมิได้สลับซับซ้อนหัวแตกขนาดนั้น ตรงกันข้าม ตัวหนังยังยึดความเป็นหนังครอบครัวผสมเสี่ยงอันตรายแฟนตาซีที่เดินเรื่องด้วยพล็อตที่ย้ำมองง่าย มองสนุกสนาน มีมุกฮาแกล้ม ขวานผ่าซากตามขนบของหนังครอบครัวเผชิญภัยที่ทายใจตอนสุดท้ายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

fmovies

รีวิวหนัง Me Time

สูตรสำเร็จขำขันวายป่วง กับโชคดีที่มีดีเพียงแค่จับตัวได้ศิลปินตัวท็อป หากย้อนกลับไปเมื่อสัก 10 ปีกลาย พวกเราอาจชอบได้มองเห็นพวกภาพยนตร์ตลกมุกสัปดนที่สะดุดตาตรงที่มีดาราเบอร์ดีๆมาร่วมสร้างสีสันให้กับเรื่อง มันเป็นภาพยนตร์ตลกมากับความขำขันแบบด้นสดและก็ความหยาบโลนเบาๆแล้วก็วันนี้อะไรอย่างนั้นมันกลับมาอีกรอบใน “Me Time” หนังที่ทำให้พวกเราคิดถึงสมัยก่อนวันวานอีกที พร้อมทั้งสูตรสำเร็จความฮาแบบเริ่มแรก ที่เสมือนจับวางๆแบบพล็อตเดิมเสมือนทศวรรษที่แล้ว

อีกทั้งเรื่องของความเกี่ยวข้องในครอบครัว ความรู้สึกแตกต่าง ตัวตนอีกแบบของตัวเราที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตไร้สำนึก หรือแม้กระทั้งการตีความหมายสถานการณ์จิตในลักษณะต่างๆออกมาเป็น Conflict ที่รอรุกรามน้องนีโมอีกทั้งในโลกความฝัน fmovies รวมทั้งโลกที่ข้อเท็จจริง ซึ่งสารอันหนึ่งที่นักเขียนว่านำเสนอออกมาก้าวหน้าก็คือ เรื่องเกี่ยวกับการทำใจสารภาพถึงการจากไป ซึ่งนักเขียนว่าอันนี้ทรงอำนาจ รวมทั้งน่าจะเป็นหัวข้อที่ต้องใจผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในทำนองนี้เช่นกันจนกระทั่งบางทีอาจน้ำตาซึมไปเลยก็ได้

ถึงแม้การเล่าสลับโลกกลับไปกลับมาแบบงี้จะเชื้อเชิญให้เรื่องราวแอบงงมากอยู่เล็กๆก็ตามในปี คริสต์ศักราช 1994 (พุทธศักราช 2537) ได้มีหนัง The Crow หรือชาวไทยคุ้นกันในชื่อ กาพญายม ปลดปล่อยออกมา กับเรื่องราวของ Eric Draven ผู้ชายที่โดนฆ่าระหว่างที่จะไปช่วยเหลือแฟนสาวที่โดนข่มขืนกระทำชำเราจนถึงเสียชีวิตในเวลาถัดมา 1 ปีที่ผ่านมาเหตุนั้นเขาฟื้นขึ้นมาจากหลุมเพื่อชำระแค้น หนังเรื่องราวสุดดาร์ค รายละเอียดสุดชั่วร้าย ซึ่งเป็นหนังที่ปรับปรุงแก้ไขดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนอิสระ

เรื่องแรกที่มิได้มาจากสองค่ายยักษ์อย่าง DC แล้วก็ Marvel ตัวหนังได้นำความร้ายแรงมาสู่สายตาผู้คนแบบที่ไม่เคยมีหนังวีรบุรุษเรื่องไหนทำมาก่อน กล่าวได้ว่าดึงเอาความร้ายแรงมาจากฉบับการ์ตูนเลยก็ว่าได้ ตัวหนังสามารถปรับพฤติกรรมให้กับช่วงที่แปรไปได้ แล้วก็ยังได้รับเสียงชื่นชอบมากมายก่ายกองจากผู้ชม ทั้งยังกรุ๊ปที่ยกย่องหนังสือการ์ตูนและก็ตัวหนัง เปลี่ยนเป็นหนังคัลท์สุดคลาสสิคอีกประเด็น

ภาคนี้ยังคงรักษาคุณลักษณะเด่นของJohn Wick ไว้ครบดังเดิม เป็นฉากแอ็คชั่นที่หรู ดุเดือดเลือดพล่าน รวมทั้งมีอารมณ์ขันแบบขบขันร้ายอยู่ในคราว แถมยังเพิ่มความมากมายหลายในฉากแอ็คชั่นให้มากเพิ่มขึ้นด้วย จากสองภาคก่อนที่จะยังเพียงแค่ยิงกันเฉยๆภาคนี้มีทั้งยังขี่จักรยานยนต์ไปจนกระทั่งขี่ม้าไล่ฆ่ากัน และก็ยังรวมทั้งใช้สุนัขช่วยต่อสู้ด้วยส่วนความเถื่อนเดือดก็สองเท่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากศัตรูตอนนี้ของจอห์น วิคนั้นมิได้เพียงแค่มาเยอะแยะ

แถมยังขนความไร้มนุษยธรรมมาเต็มกำลัง (ส่วนคีอานู รีฟส์ ยังคงโชว์ความรู้ความเข้าใจในฉากแอ็คชั่นได้อย่างน่าทึ่งดังเช่นเดิม) ทำให้ฉากแอ็คชั่นที่โหดเหี้ยมอยู่แล้วยิ่งฮาร์ดคอร์ขึ้นไปอีก ทำเอาผวาไปกับความทารุณรวมทั้งเว่อร์ไปเช่นกันในบางช่วงหรือจะเป็น Spawn วีรบุรุษประเภทเมืองนรกในปี คริสต์ศักราช 1997 (พุทธศักราช 2540) กับเรื่องราวของข้าราชการที่ออกทำการและก็โดนคิดคดทรยศจนถึงทำให้เสียชีวิต

แม้กระนั้นเขาได้ต่อรองกับอสุรกายแล้วก็ฟื้นอีกทีในชื่อ Hellspawn กับภารกิจการนำเหล่าภูติผีปีศาจจากนรกมายึดครอบครองโลก แต่ว่าเขาก็เป็น Anti-Hero กำจัดคนเลว แม้หนังจะไม่ปังมากมาย แต่ว่าก็เป็นหนังวีรบุรุษแนวใหม่ ที่มีความดาร์ค เกี่ยวเนื่องกับเมืองนรก รูปลักษณ์ดุจซาตาน ซึ่งในฉบับการ์ตูนชั่วร้ายกว่ากันมาก รวมทั้งไม่ใช่จากค่ายใหญ่อย่าง DC กับ Marvel เช่นเดียวกัน

เสน่ห์อีกอย่างที่รอหามหนังอาจจะหนีไม่รอดตัวดาราหนังหลักครับผม อีกทั้งนีโม ที่สวมบทบาทโดย มาร์โลว์ บาร์คลีย์ (Marlow Barkley) ที่แม้ว่าจะเป็นงานแสดงทีแรก แม้กระนั้นก็นับว่าทำออกมาได้มีเสน่ห์แล้วก็น่าดึงดูดมากมาย มองเป็นเด็กเฉลี่ยวฉลาดที่ไม่แก่แดดแก่ลม แต่ว่าก็แอบน่าตีนะ (555) รวมทั้งที่เด่นกระโดดกระเด้งคงจะหนีไม่พ้น เจสัน โมโมอา (Jason Momoa)

ในบทขุนโจรฟลิป ที่ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าดูแล้วก็อดรำลึกถึงลีลาท่าทางเล่นใหญ่ ขี้วางท่า ปากร้ายแต่ว่าใจดี แบบ จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) ในหนัง ‘Pirates of the Caribbean’ แล้วก็ ‘Charlie and the Chocolate Factory’ (2005) มิได้จริงๆแม้กระนั้นก็นับได้ว่าเป็นนักแสดงสำคัญในเรื่องที่มีครบทั้งยังความตลกขบขัน สวย มีความซนดีโลกยุทธโลกมือสังหารที่ถูกขยายสเกลขึ้นในภาคสอง ก็ถูกทำให้กว้างขึ้นไปอีกในภาคนี้

ด้านอื่นๆของหน่วยงานมือสังหารจะถูกเผยมากยิ่งขึ้นในภาคนี้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ชั้นยศอื่นที่มาปรากฎตัว อย่างตุลาการ หรือ “ผู้หลักผู้ใหญ่” ของหน่วยงาน มันทำให้โลกมือสังหารของจอห์น วิค มองมีชีวิตชีวาแล้วก็น่าค้นหามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างกับที่ประชุมเจไดในสตาร์วอร์สอย่างไรแบบนั้น แม้กระนั้นจุดที่น่าดึงดูดเป็นพวกเราจะได้ทราบสิ่งที่ทำให้เกิดจอห์น วิคด้วย ว่าเขามาจากไหน

รวมถึงทราบจุดหมายปลายทางสำหรับการต่อสู้ ว่าเขาทำไปขนาดนี้เพื่ออะไรกัน และก็โน่นก็ทำให้พวกเรารู้สึกต้องการเอาใจช่วยจอห์น วิคขึ้นไปอีก John Wick 3 : Parabellum เป็นหนังแอ็คชั่นโก้ๆอุดมความมันส์ ที่บางครั้งก็อาจจะมันที่สุดในครึ่งปีแรกนี้ด้วย และก็มันทำให้พวกเราต้องการมีความคิดเห็นว่าหนังภาคถัดไปของมันจะเป็นอย่างไรต่อ เนื่องจากว่ามันทิ้งเงื่อนส่วนท้ายได้น่าติดตามอย่างยิ่ง

Me Time เกี่ยวกับเรื่องราวของพ่อบ้านได้มี “เวลาส่วนตัว” เป็นครั้งแรกในรอบนับเป็นเวลาหลายปีระหว่างที่เมียกับลูกๆไม่อยู่ ชอนนี่ ก็เลยได้กลับไปพบสมัยก่อนเพื่อนสนิท อย่าง ฮัค รวมทั้งใช้เวลาตอนวันสุดสัปดาห์กันแบบสุดฤทธิ์ จนถึงแทบทำให้ชีวิตของเขาจะต้องกลับเกินที่จะคาดหวังคาดคิด ถึงเวลาที่เขาจำต้องปรับจูนชีวิตรวมทั้งกู้วิกฤตต่างๆกลับมาสู่สภาพการณ์ธรรมดาดังเช่นเดิม

รีวิวซีรีส์ Wednesday

เวนส์เดย์ บุตรสาวผู้มืดหมองหน้าเฉยในครอบครัวแอดดัมส์สุดแปลก ถึงวัยต้านทานบิดามารดาและก็ถูกส่งเข้าสถานศึกษารวมกลุ่มแปลกที่คุณพ่อและก็รวมทั้งคุณแม่เคยเป็นนิสิตเก่า รวมทั้งคุณก็จำเป็นต้องจัดการมากยิ่งกว่าปัญหาวัยรุ่นทั่วๆไปที่ปวดศีรษะกับเรื่องความเกี่ยวข้องรวมทั้งชายหนุ่มหล่อเยอะแยะ เพราะว่าเวนส์เดย์จำเป็นต้องไปเกี่ยวพันกับความลับและก็การฆาตกรรมในบริเวณชุมชนโบราณนี้ด้วย

นี่เป็นผลงานการควบคุมรวมทั้งเขียนบทของ “จอห์น หมูแฮมเบิร์ก” ที่เคยอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังงานภาพยนตร์ตลกสัปดนๆอย่าง Why Him? หรือ I Love You, Man รวมทั้งเขาก็คือผู้กำกับที่โล่งเกิดขึ้นมาจากหนังดังๆอย่าง Along Came Polly หนังรอมคอมฟีลดีที่นักเขียนรีวิวนี้ถูกใจมากมายๆแม้กระนั้นดูเหมือนวันเวลาผ่านมา ความสามารถวิธีการทำหนังของเขาคงจะออกอ่าวไปแนวทางอื่นๆเสียแล้ว

เนื่องจากว่าเปลี่ยนเป็นว่าผลงานปัจจุบันของเขาใน Me Time เปลี่ยนเป็นเพียงแค่ภาพยนตร์ตลกสูตรสำเร็จที่รับมาเพื่อทำตามอย่างปัญหาเฉยๆราวหนังที่ไม่มีชีวิตชีวา เป็นภาพยนตร์ตลกที่ยิงมุกตลกโปกฮาแผลงๆใส่เข้ามากระจายตลอดทั้งเรื่อง กลับไม่ค่อยจักจี้ถูกจุด รวมทั้งสร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้ชมได้ฮาแบบสุดๆมิได้แบบถูกจุดได้เสียทีเดียว แปลงเป็นเพียงแต่ภาพยนตร์ตลกที่ราวกับจะรสจัดจัดจ้าน แต่ว่าเป็นเพียงแต่พริกเลียนแบบๆที่ใส่เข้ามาแค่นั้น

‘Slumberland’ จริงๆก็นับได้ว่าเป็นหนังครอบครัวแฟนตาซีที่บางทีอาจจะมิได้มีอะไรเกินความมุ่งหวังครับผม แต่ว่าเป็นหนังที่รู้สึกตัวเองดีว่าจะมีผลให้ออกมาบันเทิงใจประทับใจทั้งยังเด็กรวมทั้งคนแก่ได้เช่นไร เป็นหนังเด็กที่มีอีกทั้งมุกฮาๆเรื่องราวสุดอัศจรรย์ fmovies แลเป็นหนังคนแก่ที่ตื่นตาตื่นใจด้วยวิชวลแล้วก็ Color Grading ที่งดงามเป็นหนังดราม่าน้ำดีที่เอาไว้มองแก้เครียดก็พอเพียงไหว ไม่ว่าจะเครียดกับชีวิต

หรือแม้กระทั้งเครียดจากซีรีส์ ‘1899’ ก็ตาม (555) ก็นับว่ามองเอาเพลิดเพลินแบบได้น้ำได้เนื้อ หรือถ้าเกิดมองกับน้องๆก็เป็นหนังที่เอาไว้รอสอนลูกให้ศึกษาและก็จัดการกับเรื่องจริงของชีวิตได้ไม่เลวเลยก็เลยเปลี่ยนเป็นว่าเป็นหนังที่โชคดีที่เพียงแค่พวกเขาได้โอกาสมนักแสดงตัวท็อปมาเสริมบารมี ช่วยประคองตัวหนังเอาไว้แค่เพียงเพียงแค่นั้น เพราะเหตุว่าแน่ๆว่า “เควิน ฮาร์ต” โคจรมาพบกับ “มาร์ค วอห์ลเบิร์ก” ของแพ็คคู่นี้ก็เป็นจุดขายได้

สำหรับภาพยนตร์ตลกหน้าร้อนแล้ว เพียงแต่ว่ารายละเอียดแล้วก็เนื้อในของหนังนั้น ช่างมิได้รับการขัดเกลารวมทั้งดูแลให้สมเกียรติกับศิลปินเบอร์ขนาดนี้มาร่วมแจมเลยเปลี่ยนเป็นว่า เควิน ฮาร์ต กระโดดมาเล่นภาพยนตร์ตลกที่แทบปราศจากความแปลกใหม่อะไรให้กับอาชีพของเขาเลย นั่นก็คือบทตลกโปกฮาเจ็บตัวและก็แสนจะเปิ่นด๋อ กับทั้งยังค่อนข้างจะไม่น่าสนใจไปหน่อยในบางช่วง ถึงแม้ว่าพรสรรค์ทางการแสดงในหนังแนวนี้ยังคงเข้าทางเขาอยู่เป็นประจำ แต่ว่าอะไรๆก็ตามมองซ้ำๆซากๆไปหมดแล้ว

ตั้งแต่Man of Steel ในปี 2013 ผ่านมา 6 ปี ค่ายDCได้เข็นหนังซูเปอร์วีรบุรุษมาชนกับMarvelแล้วถึง 6 เรื่อง หากว่าทางจะมิได้โรยด้วยกลีบดอกกุหลาบ แม้กระนั้นDCก็สามารถประคับประคองจักรวาลหนังของตนเองให้ยืนหยัดอยู่ได้ และก็ภายหลังเข็นวีรบุรุษตัวท็อปๆมาขึ้นหน้าจอใหญ่กันแล้ว ครั้งนี้เป็นคิวของซูเปอร์วีรบุรุษตัวใหญ่จิตใจเด็กอย่างShazam ที่ได้มาออกโรงกับเขาเสียเชิง

เหมือนกันกับ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ที่ให้ตายเหอะ…บทอย่างงี้ใครๆก็มาเล่นก็ได้ เขาเปลี่ยนมาเป็นซุปตาร์ที่อุตสาหะสร้างความแปลกใหม่ท้าให้กับอาชีพของตนเอง แหวกแนววเดิมๆที่ไม่มีความจำเป็นที่ต้องวนเวียนอยู่กลับหนังบู๊ ทำให้ตอนยุคนี้เขาหันมาเลือกเล่นหนังดราม่ารวมทั้งภาพยนตร์ตลกบ้าๆบอๆมากขึ้นเรื่อยๆ และก็หนังหัวข้อนี้ก็คงจะตอบปัญหาความสนุกสนานร่าเริงของเขา เพราะว่ามันเป็นหนังที่บทค่อนกลวงมากมายทีเดียว

สำหรับ ‘Wednesday’ จำต้องเห็นด้วยว่าผู้อำนวยการผลิตของซีรีส์ที่ควบตำแหน่งเขียนบทอย่างคู่ขา อัลเฟรด กอจห์ (Alfred Gough) และก็ ไมล์ส ไม่ลลาร์ (Miles Millar) ซึ่งเคยวางวิถีทางรายละเอียดใน ‘Spider-Man 2’ (2004) ฉบับของ แซม เรมี (Sam Raimi) ที่นับว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรภาคต่อที่น่าจำที่สุดเรื่องหนึ่ง

ในขณะ DC ได้วาดลวดลายเอาไว้ภายในแวดวงหนังไม่ใช่น้อย ทาง Marvel ก็มีการเคลื่อนที่ เนื่องจากว่าทาง New Line Cinema ได้ซื้อลิขสิทธิ์ขอทำหนังของนักแสดง Blade จากทาง Marvel* ปลดปล่อยฉายในปี คริสต์ศักราช 1998 (พุทธศักราช 2541) และบรรลุผลสำเร็จอย่างไม่คาดคิด เป็นความเสร็จแรกในแวดวงหนังของทาง Marvel เลยก็ว่าได้ กับรายละเอียดของลูกครึ่งแวมไพร์นักล่าแวมไพร์ แน่ๆว่าฆ่าเป็นฆ่า นับว่าเป็นวีรบุรุษที่หรูและก็โหดเหี้ยมจริงๆ

ทางด้านครอบครัวชุบเลี้ยงที่ใบเสร็จรับเงินลี่เพียรพยายามขับไสออกห่างเองก็เปลี่ยนเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้เขาปรับปรุงตนเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาตระหนักถึงความเป็นครอบครัว ถึงแม้ว่าในตอนแรกความเต็มที่ของบรรดาญาติพี่น้องจะมีผลให้พวกเรารู้สึกถึงความแปลกแยกกับคนพวกนี้เหมือนกันกับใบเสร็จรับเงินลี่ (จนถึงน่าตื่นเต้นว่าผู้แสดงเหล่านี้จะน่าเบื่อหน่ายหรือไม่)

แต่ว่าเมื่อเรื่องราวดำเนินไปเรื่อยพวกเราก็จะได้มองเห็นมุมอื่นๆของญาติกลุ่มนี้เยอะขึ้น มุมที่ห่วงใยแล้วก็ประสงค์ดีซึ่งกันและกัน ต่อให้กับสมาชิกใหม่อย่างใบเสร็จรับเงินลี่ รวมทั้งพวกเราก็เปิดใจรับพวกเขาเยอะขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับใบเสร็จรับเงินลี่ที่เบาๆเปิดใจรับครอบครัวใหม่ของเขาทั้งสองสามารถหาหนทางให้ครอบครัวแอดดัมส์โลดแล่นในยุคสมัยใหม่ได้น่าดึงดูดสุดๆด้วยการจับละครบุตรสาววัยรุ่นอย่าง เวนส์เดย์ ที่กำลังค้นหาตนเองรวมทั้งไม่ยอมรับคนรอบกายจนกระทั่งมองแปลกไม่มีเพื่อนเกลอ

มาเข้าชั้นเรียนในสถานศึกษารวมเด็กที่นอกคอกแตกต่าง แล้วก็ที่สำคัญนานาประการเชื้อสายมีตั้งแต่ว่าแวมไพร์ มนุษย์สุนัขป่า ไซเรน และก็อมนุษย์อีกมากมายด้านโปรดักชั่น แอ็คชั่นหรือดนตรีประกอบ Shazam! บางทีอาจจะยังสู้หนังDCเรื่องก่อนๆมิได้ แต่ว่าก็เริ่มเข้าใจได้ด้วยบริบทของหนังที่ราวกับต้องการย้ำไปที่การเจริญเติบโตของใบเสร็จรับเงินลี่มากยิ่งกว่าและไม่ได้ย้ำที่ตรงนี้มากสักเท่าไรนักเลย

พอเพียงชดเชยข้อบกพร่องที่ตรงนี้ได้เพียงแค่พลอตที่แต่งใหม่นี้ก็ถือว่าน่าติดตามไม่น้อยรวมทั้งคงจะเปิดพื้นที่จินตนาการให้ทิม บอร์ตันแสดงความสามารถได้สุดกำลังด้วย แตกต่างจากในตอนที่เอ็งจำเป็นต้องทำแฟนตาซีสถานที่เรียนคนภาคเหนือมนุษย์ใน ‘Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children’ (2016) ที่อย่างไรก็ติดกรอบของรายละเอียดในหนังสืออยู่

fmovies

รีวิวหนัง Shazam! ชาแซม!

Shazam! เกี่ยวกับเรื่องของใบเสร็จรับเงินลี่ กางทสัน (Asher Angel) ลูกกำพร้าที่ได้รับเลือกจากบิดามดชาแซม (Djimon Honsu ให้ตกทอดพลังจากผู้กล้าในตำนานอีกทั้งเจ็ด เพื่อยอดเยี่ยมมนุษย์(Zackary Levi)ที่คุ้มครองปกป้องโลกจากความทารุณไร้มนุษยธรรม แต่ว่าใบเสร็จรับเงินลี่ที่ยังเด็กอยู่จะสามารถจัดการกับภัยร้ายจากDoctor Sivana (Mark Strong) ได้ไหม แตกต่างจากหนังวีรบุรุษเรื่องก่อนๆของDCที่มาในโทนอีพิคอลังงานการสร้าง Shazam!

กลายเป็นหนังซูเปอร์วีรบุรุษสเกลเล็กเบาสมอง ที่ช่วงเวลาเดียวกันก็มีอารมณ์ดราม่าแทรกอยู่พักๆ‘The Addams Family’ อาจจะเริ่มต้นด้วยการเป็นการ์ตูนแก๊กในปี 1938 โดยใช้แรงผลักดันจากชีวิตของการการมีคู่ครองที่ไม่สู้ดีนักของผู้เขียน ชาร์ลส์ แอดดัมส์ (Charles Addams)มาแปลความหมายอย่างเฮฮาร้าย เต็มไปด้วยผู้แสดงสุดหลอนที่ราวกับหลุดมาจากวันฮาโลวีนรวมทั้งมองไม่เข้ากันสักมากแค่ไหนกับโลกข้างนอกแต่ว่าก็มารวมกันเป็นครอบครัวได้

ความไม่เหมือนนี้แปลงเป็นเสน่ห์ที่เชิญติดตามยิ่งเมื่อรวมกับตลกโปกฮาแบบคนแก่ที่เอาการมองโลกแง่ร้ายมาเป็นความเฮฮาได้ถึงแม้หลักสำคัญของหนัง Me Time จะเกริ่นเอาไว้ออกจะน่าดึงดูด กับปัญหาพ่อบ้านสุดกำลังที่จัดแจ้งทุกอย่างในบ้าน เปลี่ยนเป็นหัวหน้าในครอบครัวอย่างน่ามหัศจรรย์ fmovies จนถึงทำให้เขาแทบไม่ว่างให้กับตนเองเลย แต่ว่าเมื่อสบโอกาสและก็ช่องทางที่เป็นของตนเอง เขาก็เลยเลือกที่จะทำอะไรที่ตนเองต้องการทำ

ปัญหานี้หากแปลความเป็นหนังดราม่านิดๆเฮฮาหน่อยๆก็คงจะได้ฟีลที่ดีอีกฟีล แต่ว่าเมื่อเลือกเดินทางนี้ก็ควรจะเป็นแบบงี้นั่นแหละที่น่าดึงดูดเป็นวางแบบแบบโกธิกสุดแปลกของนักแสดงต่างๆที่ปนเปอยู่กับสังคมธรรมดา มันช่างเป็นโลกแฟนตาซีที่ผิดตา ถึงจะไม่สนใจก็จำเป็นต้องหยุดมองอยู่ดี ไม่ประหลาดใจว่างานวิชวลที่เด่นขนาดนี้เมื่อเอามาทำเป็นหนังหรือซีรีส์ย่อมจะน่าดึงดูดเอามากๆ

พวกเราจะได้มองเห็นการเจริญเติบโตของใบเสร็จรับเงินลี่ กางทสัน จากเด็กมีปัญหา เปลี่ยนมาเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบในตนเองมากขึ้นเรื่อยๆสำหรับในการที่จำเป็นต้องแสดงบทบาทวีรบุรุษรอช่วยเหลือสามัญชน ในตอนแรกๆหน้าที่ของเขาในร่างยอดมนุษย์มิได้มีอะไรไปๆมาๆกกว่าการโชว์ออฟเรียกผู้ชมแค่นั้น (Zachary Levi เล่นเป็นเด็กในร่างคนแก่ได้ซุ่มซ่ามแล้วก็สนุกสนานมากมาย) แต่ว่าการมาถึงของDr. Sivana ก็แปลงเป็นบททดลองให้เขาจำเป็นต้องพิสูจน์ตนเอง

แล้วก็ฉบับปัจจุบันของเน็ตฟลิกซ์ที่เลือกเอาผู้กำกับรุ่นใหญ่อย่าง ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) ซึ่งเคยส่งผลงานวิสัยทัศน์แฟนตาซีในแบบมืดหมองมานักต่อนัก ดังเช่น ‘Sleepy Hollow’ (1999) ‘Corpse Bride’ (2005) หรือ ‘Frankenweenie’ (2012) ที่จัดว่าถูกฝาถูกตัวมากมายๆมากมายจนถึงน่าฉงนไม่น้อยที่แฟรนไชส์แอดดัมส์ไม่เคยมาอยู่ในมือเขาเลยได้ยังไงมาตั้งหลายสิบปีในฐานะของวีรบุรุษ รวมทั้งในฐานะของหนึ่งในลูกพี่ลูกน้องในครอบครัวใหม่ของเขาด้วย

เอาว่าโดยภาพรวมแล้วนั้น Me Time บางครั้งก็อาจจะมิได้พูดว่าเป็นหนังที่ผิดหวัง เพราะว่าก็ไม่คาดหมายอะไรก็ตามอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันเป็นหนังที่มีส่วนประกอบรวมทั้งประสิทธิภาพที่ดีเลิศในตัวมันมากมายๆก็แค่ยังไม่สามารถที่จะนำที่ตรงนั้นมาทำให้มีคุณประโยชน์ต่อประสิทธิภาพของหนังสักเท่าไหร่ ท้ายที่สุดก็แปลงเป็นเพียงแค่ภาพยนตร์ตลกมุกเดิมๆทั้งยังการปฏิบัติแผลงๆความฮาแบบขำแห้งๆช่างเป็นโอบล้อมที่ออกจะโชคร้ายไปสักนิดสักหน่อย เพราะว่าพวกเขาได้โอกาสมงานรวมทั้งผู้แสดงระดับนี้มาเชียวนะ

ถึงกระนั้น Seoul Vibe ก็ยังมีอีกสิ่งที่เด่นเช่นกัน ซึ่งก็คือการเก็บเนื้อหาห้อมล้อมต่างๆของหนัง ที่นับว่ายังเป็นสิ่งที่กลุ่มผู้ผลิตจากประเทศเกาหลียังคงทำเป็นดีเหมือนปกติ หากว่าซีจีบางจุดบางทีก็อาจจะยังไม่เนียนมากมาย แม้กระนั้นการสนใจเรื่องโลเคชั่นและก็สถานที่ถ่ายทำต่างๆจัดว่าทำการบ้านดี ใส่เข้ามากระทั่งแหล่งกำเนิดสูตรชงน้ำเมาประเทศเกาหลีในตำนาน ทั้งสามารถไว้เนื้อเชื่อใจเรื่องคอสตูมแล้วก็เมคอัปของผู้แสดง ที่นับว่าตั้งใจได้อย่างครบถ้วน

ตัวหนังทำรายได้เกินล้านบาท ส่งให้มีภาคต่ออีกเยอะมากอีกทั้ง ทับสมิงคลา คริสต์ศักราช 1962 (พุทธศักราช 2505), อวสานอินทรีแดง คริสต์ศักราช 1963 (พุทธศักราช 2506), ภูติผีปีศาจดำ คริสต์ศักราช 1966 (พุทธศักราช 2509), แรงวอินทรี คริสต์ศักราช 1968 (พุทธศักราช 2511) รวมทั้ง อินทรีทองคำ คริสต์ศักราช 1970 (พุทธศักราช 2513) ที่เกิดเรื่องในที่สุดที่เจ้าตัวได้แสดง เนื่องจากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุขณะถ่ายทำประเด็นนี้ ก.พ แต่ว่าชื่อของอินทรีแดงก็ยังถูกเอ่ยถึงกันอยู่เวลานี้

มันจะคืออะไร ถ้าว่าถือจับเอาหนังไฮสคูลมาผสมรวมกับหนังสยองขวัญปราบผี ก็คงจะออกมาแบบในหนังออนไลน์เรื่องใหม่ที่มีไอเดียที่น่าดึงดูดไม่น้อย อย่าง “My Best Friend’s Exorcism เพื่อนรัก เพื่อนพ้องหลอน” ที่เป็นการกรองเอาสูตรสำเร็จจากหลายๆส่วนประกอบมายำรวมไว้ ทั้งยังหนังวัยรุ่น หนังผี หนังวินเทจ คลุกให้เข้ากันออกมาเป็นหนังเรื่องใหม่ ที่ก็ยังไม่แน่ใจราวกับว่าจะใช้รสที่ประทับหัวใจไหม

ด้วยความใกล้เคียงของพลอตที่เกิดเรื่องราวเด็กที่มีพลังพิเศษแล้วก็มีปัญหาต่างๆก็เชื้อเชิญให้นึกถึงหนังในประเภทเดียวกันอย่างแฟรนไชส์ ‘Twilight’ หรือหนัง ‘The New Mutants’ (2020) แม้กระนั้นด้วยรสที่มองหรรษากว่าซีเรียสน้อยกว่า เฮฮาร้ายมากกว่า รวมทั้งส่วนประกอบหลายสิ่งหลายอย่างที่ละม้ายดังเช่นว่าอาจารย์ที่ลึกลับ ปัญหาเรื่องเล่าในสถานที่เรียน

แม้กระทั้งการประลองชิงธงรายปีที่เรียกว่า โพคัพ ของเชื้อสายต่างๆก็เชิญให้คิดถึงตอนได้มองแฟรนไชส์ ‘Harry Potter’ ที่มีเงื่อนปัญหามากมายก่ายกอง โลกและก็ผู้แสดงแปลกใหม่น่าระทึกใจไม่มีความแตกต่างกัน winner789 ต่างเพียงแค่มันเป็นแบบโกธิกดาร์กแฟนตาซีสไตล์ ทิม เบอร์ตัน แล้วก็ท่าทางนักแสดงนำที่ไม่คุ้นเคย แม้กระนั้นความรู้สึกตาแวววาวและก็อิ่มเอมกับวิสัยทัศน์ใหม่นั้นเกือบจะไม่ได้มีความแตกต่างกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *