the little mermaid ariel
the little mermaid ariel บรรยากาศในหนัง เข้าใจว่าผู้กำกับเคยทำ The pirates of the caribbean มาก่อน มันก็เลยแอบ ๆ มีไวบ์แบบนั้นมา ผสม ๆ กับความอควาแมนนิดหน่อย สรุปรวม ๆ คือ ยังไม่รู้สึกว่าหนังมีความเป็นตัวของตัวเองสูงพอทั้งที่การเอาการ์ตูนมิวสิคัลที่มีเพลงระดับตำนานมาทำ มันก็ควรไปได้มากกว่านี้หลายเท่า แต่ดูเหมือนยังขาดความปราณีตในการนำเสนอหลาย ๆ อย่าง
สิ่งที่ขัดใจไม่ใช่สีผิวนางเอก แต่เป็นทั้งหมดเลย รวมถึงพระเอกด้วย
ดูออกว่านักแสดงตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดีที่สุดแล้ว the little mermaid โดยที่ส่วนตัวไม่รู้สึกว่าน้อง Wanna be ด้วย แต่คิดว่าน่าจะมีปัญหาที่การกำกับการแสดงมากกว่า ความรักระหว่างพระเอกนางเอก เราไม่รู้สึกถึงมันเลย สายตาที่ทั้งสองส่งให้กันมันยังไม่ทำให้เราเชื่อจริง ๆ ว่ามีใจให้กันนะ ถ้าเรื่องก่อนหน้านี้อย่าง อะลาดิน เอออันนั้นเราเชื่อมากกว่า แล้วอะลาดินตัวพระเอกคือแสดงออกมาได้มีเสน่ห์จนเราอินแล้วเอาใจช่วยไปกับเขา แต่ The Little Mermaid พระเอกดูเรียบมาก
ไม่มีอะไรที่น่าจดจำเลย อย่างชอตที่เป็นเพลงโซโล่ ที่ทะเลาะกับแม่คือ การถ่าย ลำดับภาพต่าง ๆ ก็ไม่ส่งเสริมนักแสดงเลย ดูจืดมาก หรือนางเอกอย่าง แฮลลี เบลีย์ เราว่าเขาแสดงออกมาได้ดีนะ แต่ตัวหนังไม่ได้ส่งเขาขนาดนั้น บางชอตเหมือนจะแกงด้วยซ้ำ พอมันเป็นอย่างนี้ ตัวหลักดูดรอป อะไร ๆ มันก็ดูดรอปไปหมด กลายเป็นไปไม่ถึงจริง ๆ แต่โดยรวมไม่ได้แย่นะ แค่มันไม่ได้ดีขนาดนั้น สิ่งที่มันดูพยายาม พยาย๊ามพยายามจริง ๆ ในหนังคือ เหมือนอยากจะเล่นประเด็นความขัดแย้งระหว่าง 2 โลก ก็แต่ดำเนินเรื่องมาแบบ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ถ้าโฟกัสไปที่ความขัดแย้งนี้เป็นหลัก แล้วสอดแทรกความรักอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ แต่ซีนสุดท้ายจะดีกว่า อิมแพคกว่าแน่นนอน
สิ่งที่ดูแล้วรู้สึกดีงามและน่าจดจำจริงคือ เออร์ซูร่า ทั้งสองร่าง ชอบมาก กับราชาไตรตัน ที่ออกไม่มาก แสดงไม่มาก แต่ดูขลังและมีเสน่ห์แม้ว่าฉากกับบรรยากาศในหนังไม่ได้สร้างให้เขาดูทรงพลังขนาดนั้น แต่ก็นั่นแหละ เรื่องของความปราณีตในการสร้าง แต่สายตาสีหน้า
การแสดงของทั้งสองคนก็เหมาะสมกับความเป็นรุ่นใหญ่ดี และสิ่งที่แบกหนังเรื่องนี้จริง ๆ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ สัตว์ 3 ตัว เซบัสเตียน ฟาวเดอร์ สกัตเติล คือเดอะแบกแบบ ขั้นสุด ดีงามน่ารักตลกมากและโดดเด่นกว่าตัวหลักทั้งปวง ถ้าเข้าไปเพื่อดู 3 ตัวนี้ เราบอกเลยว่า คุ้ม
ส่วนถ้าใครอยากรู้ว่า โบกี้ ไลอ้อน ทำออกมาเป็นยังไง จริง ๆ ไม่ค่อยอยากวิจารณ์ตรงนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันไม่เข้ากับโบกี้จริง ๆ ส่วนตัวไม่คิดว่าโบกี้ต้องพัฒนาอะไร โบกี้เก่งอยู่แล้ว แค่เพลงเรื่องนี้มันไม่เหมาะกับเสียงหรือการร้องแบบโบกี้แค่นั้น ไม่ได้ประชดนะ 555 เดี๋ยวอธิบาย
คือนึกออกไหม ? เราไม่ต้องไปบอกว่าโบกี้ต้องพยายามอีก หรือต้องพัฒนาอะไร เพราะเขาก้าวมาไกลถึงจุดที่เป็นศิลปินแล้ว โบกี้คือโบกี้ ไม่ต้องเป็นนางเงือก ไม่ต้องเป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นจะไม่บอกว่า โบกี้ทำไม่ได้หรือต้องปรับปรุงอะไร แต่เพลงนี้ไม่เข้ากับโบกี้ มันคือแค่นั้น โบกี้ยังเป็นเดอะเบสเสมอในทางของเขา
ส่วนตัวไม่ได้โตมากับเวอร์ชั่นการ์ตูน (ว่าง่าย ๆ คือวัยเด็ก ไม่เคยดูเลยฮะ 5555) แต่ไม่นานมานี้ก็ได้มีโอกาสดูเวอร์ชั่นการ์ตูน หลังจากที่ดูหนังจบแล้ว สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเวอร์ชั่นการ์ตูนด้อยกว่าหนัง Live-Action คือตัวเรื่องที่มีน้ำหนักและเหตุผลเบาบาง
วิธีการเล่าดูไวจนทำให้เรื่องราวความสัมพันธ์และตัวละครถูกกลบไปด้วยความสวยงามของเพลงและความสดใสน่ารักของภาพจำที่หลายคนจดจำมา สำหรับตัวหนัง แม้ข้อเสียจะหนีไม่พ้นในส่วนของวิธีการเดินเรื่องที่ตามสูตรจนซ้ำจำเจ ไม่ได้มีอะไรใหม่ บางอย่างก็อาจดูเฉิ่มและสวยสดใสหวานแหววสไตล์ดิสนีย์ แต่ภาพรวมเราว่าหลายอย่างมันดัดแปลงและได้ดีกว่าและสนุกกว่า
สิ่งที่ทำให้เราชอบหนังมากคือการขยายเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเอริคและแอเรียล โดยในการ์ตูนจะไม่ได้ค่อยเห็นนัก the little mermaid แต่ในหนังก็มีการเพิ่มซีนหลายซีนเข้ามา เช่น ซีนเดินตลาด ซีนดูแผนที่ ซีนขี่ม้า และซีนเล็กน้อยอื่น ๆ ที่ทำให้การเติมเต็มความสัมพันธ์ของทั้งสองดูมีมิติและชวนเข้าอกเข้าใจถึงความสัมพันธ์นี้ได้มากขึ้น และส่วนที่ชอบอีกอย่างคือความสัมพันธ์พ่อลูกที่แม้หนังจะไม่ได้เล่ามากนัก แต่หนังก็ได้ขยายเรื่องราวส่วนนี้ได้น่าประทับใจมากขึ้น
ซึ่งจะเห็นได้จากช่วงท้ายของหนังที่เราว่าเป็นการต่อเติมจากการ์ตูนได้ดีมาก การเติบโต การปล่อยวาง การพยายามเข้าใจหัวอกของความเป็นครอบครัวระหว่างกัน จากที่มันจบแบบรวบรัดตัดตอนไว หนังก็เติมหลายส่วนให้ออกมาดูมีชีวิตชีวา ทำให้ประเด็นที่ว่าด้วยความรัก โลกทั้งสองที่ถูกแบ่งแยกกัน และประเด็นเราทุกคนต่างก็เป็นส่วนนึงของโลกใบนี้ ไม่มีใครไม่สำคัญ เราต่างมีบทบาทเป็นของตัวเอง ก็ทำให้หนังมันจบได้อย่างสวยงามและประทับใจไม่น้อยเลย
จริง ๆ อาจจะติเรื่องงานภาพและโปรดักชั่นนิด ๆReview: I Took My Daughters, 3 and 6, to See “The Little Mermaid” – IndieWire
ที่เราว่ามันดีไซน์หลายซีนออกมาดูมืดและสลัว เน้นความสมจริงมากเกินจนทำให้ขาดเสน่ห์และความงดงามที่พูดถึงใต้ท้องทะเลอันสดใสและมีชีวิตชีวา แต่ใด ๆ เราประทับใจเพลงและเคมีของตัวละครในหนังมากพอสมควร ฮัลลี เบลีย์ สำหรับเราก็สามารถรับบทบาทในเงือกน้อยได้ดีมากและไม่ติดขัดอะไรใด เป็นแอเรียลที่มีเสน่ห์และสไตล์เป็นของตัวเอง ซึ่งเธอก็โดดเด่นมาก ๆ ในพาร์ทร้องเพลง Part of Your World อันทรงพลังและตราตรึง
The Little Mermaid_4″The Little Mermaid” ก็เป็นหนัง Live-Action ของดิสนีย์ที่แม้ตัวเรื่องจะไม่ได้มอบความสดใหม่นัก แต่ก็เป็นการดัดแปลงมาจาการ์ตูนได้ดีกว่า สนุกกว่า มอบมิติ น้ำหนักและประเด็นของหนังได้ทรงพลังและประทับใจกว่าอย่างที่มันควรจะเป็น สำหรับเราให้คะแนนหนังเรื่องนี้ที่ 7 เต็ม 10 ครับ
เราไม่เคยมีปัญหากับ Ariel ที่ผิวไม่ขาวและผมไม่แดง
เพราะ 1. เราไม่เคยดูเวอร์ชั่น Animation (1989) ถึงแม้จะเคยเห็นรูปบ้างประปราย แต่ก็ไม่มีผลต่อภาพจำอะไร และ 2. จากที่เราเคยอ่านหนังสือ The Little Mermaid (ฉบับแปลอังกฤษจาก “งานเขียนต้นฉบับ” ภาษาเดนิชของ Hans Christian Andersen) เนื้อหาหรือธีมของเรื่องมันเน้นที่ความรักและเสียงของ Ariel เป็นหลัก
เรื่องราวของเงือกน้อยไม่มีความสัมพันธ์กับบริบททางเชื้อชาติวัฒนธรรมโดยเฉพาะอย่างเรื่อง Mulan (จีน), Aladdin (อาหรับ), Pocahontas (เนทีฟอเมริกัน), หรือ Moana (โปลินีเซีย) แต่ใดใด ดังนั้น นางเงือกจะสีผิวหรือเชื้อชาติอะไรก็ไม่ส่งผลต่อสารสำคัญของเรื่อง
ผู้กำกับระดับเคยเข้าชิงออสการ์อย่าง Rob Marshall ได้รับโจทย์จาก Disney ให้มากำกับและดัดแปลง The Little Mermaid ฉบับ Live Action ให้เป็นหนัง Disney ที่มีความเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันมากขึ้น โดยที่ยังคงเนื้อเรื่องของฉบับการ์ตูนไว้ รวมถึงต้องมีสัตว์พูดได้ อย่างปู Sebastian (Daveed Diggs), ปลา Flounder (Jacob Tremblay), และนก Scuttle (Awkwafina) อยู่ด้วยครบองค์ประชุม